มีการคาดการณ์ว่า มลพิษทางอากาศมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรของชาวอังกฤษกว่า 40,000 รายต่อปี ซึ่งทางโฆษกของรัฐบาลอังกฤษเองเคยออกมาบอกว่า คุณภาพอากาศที่แย่ ถือเป็นความเสี่ยงที่รุนแรงที่สุดต่อสุขภาพของประชาชนอังกฤษ
จากปัญหาที่ว่านี้ ประกอบกับกระแสทางด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งกลายเป็นประเด็นที่หลายประเทศให้ความสนใจ นำไปสู่การทุ่มงบกว่า 3,000 ล้านปอนด์ หรือราว 130,000 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงคุณภาพอากาศของประเทศอังกฤษ และแผนการแบนรถยนต์น้ำมันน้ำมันภายในปี 2040 ก็รวมอยู่ในนี้ด้วยเช่นเดียวกัน
ก่อนจะถึงเป้าหมายในปี 2040 ได้มีนโยบายต่างๆ ออกมา ทั้งการมอบเงินสนับสนุน เป็นส่วนลดสำหรับผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าคันใหม่ ซึ่งจะได้รับส่วนลดสูงสุดถึง 135,000 บาท ต่อคันตามเงื่อนไขที่กำหนด การทุ่มงบประมาณกว่า 400 ล้านบาท สร้างสถานีชาร์จไฟ 3,600 จุดประเทศ ไปจนถึงการกำหนดโซนอากาศบริสุทธิ์ (Clean Air Zone) ในบางพื้นที่ ซึ่งจะมีการจำกัดเวลาการใช้รถยนต์น้ำมันในพื้นที่ดังกล่าว และถ้าใครฝ่าฝืนก็ต้องเสียค่าปรับ 11.5-24 ปอนด์/วัน (ประมาณ 460-969 บาท) ทั้งนี้ก็เพื่อลดการใช้รถยนต์แบบเดิม และเน้นให้คนหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น.
ปี 2019 ประเทศอังกฤษมีรถยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียน 37,850 คัน เพิ่มขึ้นถึง 144% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งหากเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ อาจทำให้เป้าหมายการแบนรถยนต์น้ำมันของประเทศอังกฤษสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี อย่างไรก็ตาม ในสายตาของผู้เชี่ยวชาญหลายคน มองว่าการแบนรถยนต์น้ำมันในปี 2040 นั้นอาจจะช้าเกินไปสำหรับเป้าหมายประเทศปลอดมลพิษ ในปี 2050. จนในที่สุด นำไปสู่การประกาศเลื่อนเส้นตายของมาตรการดังกล่าวเข้ามาอีก 5 ปี
20 ปีอาจนานเกินไป จึงเร่งแบนรถน้ำมันทุกชนิดไม่เกินปี 2035
เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2020 ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีของประเทศอังกฤษได้ขึ้นกล่าวในงานเปิดตัวการประชุมสุดยอดด้านสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติ
โดยระบุว่า การห้ามขายรถยนต์ที่ใช้น้ำมันดีเซลและเบนซิน อาจจะเกิดขึ้นเร็วขึ้นก่อนกำหนด ซึ่งหากเป็นไปได้อาจเกิดขึ้นก่อนปี 2035
นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มรถยนต์ไฮบริด เข้าไปในมาตรการดังกล่าวด้วย นั่นหมายความว่า หากการแบนรถยนต์น้ำมันเกิดขึ้นจริง คนอังกฤษจะมีตัวเลือกแค่รถยนต์ไฟฟ้า หรือรถยนต์ไฮโดรเจนเท่านั้น
แม้ประเทศอังกฤษจะไม่ใช่ตลาดรถยนต์ที่ใหญ่เหมือนกับสหรัฐอเมริกา หรือจีน แต่หากการแบนรถยนต์น้ำมันนี้เกิดขึ้นจริง เราอาจจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของค่ายรถหลายๆ ค่ายก็เป็นได้ เพราะยังมีประเทศในยุโรปอีกหลายประเทศที่ตั้งเป้าจะแบนรถยนต์น้ำมันเช่นกัน อย่างฝรั่งเศส สวีเดน หรือฮอลแลนด์
ความพยายามเปลี่ยนจากรถยนต์แบบเดิมไปเป็นรถยนต์ไฟฟ้า อาจเป็นหนึ่งในแนวทางของการลดมลพิษ แต่ทั้งนี้อย่าลืมว่ารถยนต์ไม่ได้เป็นเพียงสาเหตุเดียวของปัญหา ยังมียานพาหนะอื่นๆ อย่างเครื่องบิน และเรือขนส่งสินค้าอีกด้วย
ซึ่งในอนาคตต่อจากนี้นอกจากโฉมหน้าของวงการยานยนต์ที่จะเปลี่ยนไปแล้ว เราอาจได้เห็นการเปลี่ยนแปลงจากแวดวงอื่นๆ ตามมาโดยเร็วก็เป็นได้